ข้าราชการไทยยุคใหม่ต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานในระบบราชการที่มุ่งสู่การใช้เทคโนโลยีมากขึ้นรวมทั้งการเข้าสู่เออีซีที่มีข้อตกลงให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการติดต่อสื่อสาร

นายนนทิกร กาญจนะจิตรา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ) กล่าวว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง เพราะบุคลากรรุ่นใหม่ ๆ ต้องมีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ 2 ด้านที่สำคัญ คือ คอมพิวเตอร์ และภาษาต่างประเทศ เพราะในอนาคตระบบบริหารจัดการในระบบราชการอาจใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทนคนมากขึ้น

เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของหุ่นยนต์ อดีตเลขาธิการ กพ อธิบายว่า ยังมีสิ่งที่หุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้คือ การคิดวิเคราะห์ ดังนั้น ข้าราชการรุ่นใหม่ต้องมีระบบคิดวิเคราะห์ที่เฉลียวฉลาด มีคุณธรรมจริยธรรม ความเมตตากรุณาร่วมอยู่ด้วย แตกต่างจากระบบเทคโนโลยีที่คิดคำนวณผลออกมาแค่ความถูกหรือผิดเท่านั้น

นนทิกร ให้แนวทางของระบบราชการในอนาคตว่า ต้องมีการปรับโครงสร้างโดยการปรับระบบการทำงานก่อนการปรับคน ถึงจะสามารถจัดคนหรือคัดสรรคนเข้าสู่ระบบได้ เช่น กรมสรรพากรเดิมต้องใช้คนและมีสำนักงานสาขาจำนวนมากเพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษี แต่ปัจจุบันใช้ยื่นแบบฟอร์มเสียภาษีทางอินเทอร์เน็ต จึงต้องลดจำนวนเจ้าหน้าที่และสำนักงานสาขาลง เป็นต้น

“ในอนาคตการสอบคัดเลือก ก.พ. ภาค ก หรือภาค ข ต้องมีการทดสอบความรู้ด้านภาษาอังกฤษกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น เพราะต่อไปคนจะต้องใช้ความรู้เหล่านี้มาใช้ในระบบราชการ ปัจจุบันการสอบ กพ ยังให้ความสำคัญเรื่องความรู้ภาษาต่างประเทศ เช่น อังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น กับคอมพิวเตอร์น้อยอยู่ ยิ่งประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่เออีซีแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้” นนทิกรกล่าว ทั้งนี้ กพ เริ่มให้ผู้สมัครเข้ารับราชการสอบภาษาอังกฤษในปี 2556 เป็นปีแรก

กิตติยา คัมภีร์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าวว่า ก.พ.ร. มีโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ โดยรับสมัครผู้จบปริญญาโทและเอกทุกสาขาวิชาจากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อผ่านการคัดเลือก จะได้รับการฝึกอบรมหลักสูตรพิเศษให้เป็นนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่เข้ามาทำงานเชิงยุทธศาสตร์